admin advanced law

หน้า: ()   1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18 ...19   ()
รูปภาพของadmin advanced law
ความรู้กฎหมายทั่วไป by อ.เกด, อ.พิชัย ไลน์ 0862310999 -> ยึดทรัพย์ลูกหนี้ไปเพื่อให้ลูกหนี้ตามไปชำระหนี้และรับทรัพย์คืน จะผิดลักทรัพย์หรือไม่
โดย admin advanced law - พฤหัสบดี, 21 สิงหาคม 2014, 01:59PM
 

คำถาม จำเลยเป็นเจ้าหนี้ เอาทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งเป็นลูกหนี้ไปใส่ท้ายกระบะรถยนต์ แล้วบอก ร. บุตรผู้เสียหายว่าหากอยากได้ทรัพย์ของผู้เสียหายคืนให้ผู้เสียหายนำเงินที่กู้ยืมไปชำระ เช่นนี้จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่

คำตอบ ผิดฐานลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11225/2555

ก่อนจำเลยทั้งสามเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป จำเลยทั้งสามได้ไปพบ ว. ผู้ใหญ่บ้านเพื่อให้ช่วยพูดให้ผู้เสียหายชำระหนี้จำเลยที่ 1 เมื่อตกลงกันไม่ได้ จำเลยทั้งสามจึงเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปใส่ท้ายกระบะรถยนต์ จำเลยทั้งสามบอก ร. บุตรผู้เสียหายว่าหากอยากจะได้ทรัพย์ของผู้เสียหายคืนให้ผู้เสียหายนำเงินที่กู้ยืมไปชำระ และจำเลยทั้งสามนำทรัพย์ของผู้เสียหายไปคืนพนักงานสอบสวนเมื่อพนักงานสอบสวนบอกให้จำเลยทั้งสามนำทรัพย์ของกลางมาคืน ประกอบกับหนังสือสัญญากู้เงินตามกฎหมายใหม่ระบุว่าผู้เสียหายจะชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 เดือนละ 2,000 บาท หากไม่ชำระยินยอมให้ยึดทรัพย์สินของผู้เสียหายโดยไม่มีข้อยกเว้น เชื่อว่าจำเลยทั้งสามเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเพื่อให้ผู้เสียหายไปติดต่อชำระหนี้เงินกู้ยืมที่ค้างชำระจำเลยที่ 1 แต่การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการบังคับให้ผู้เสียหายชำระหนี้โดยพลการ ซึ่งไม่มีอำนาจจะกระทำได้ตามกฎหมาย ถือเป็นการกระทำโดยมีเจตนาทุจริต จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7) (8) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ และมาตรา 83


รูปภาพของadmin advanced law
ความรู้กฎหมายทั่วไป by อ.เกด, อ.พิชัย ไลน์ 0862310999 -> หลอกให้ทำสัญญาเช่าซื้อแล้วอาศัยสัญญาเป็นช่องทางให้ได้รถไป ผิดลักทรัพย์หรือฉ้อโกง
โดย admin advanced law - พฤหัสบดี, 21 สิงหาคม 2014, 01:57PM
 

คำตอบ เป็นความผิดฐานฉ้อโกง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5228/2554

การกระทำที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ จะต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตมิใช่ได้ทรัพย์เพราะผู้อื่นยินยอมมอบให้ การที่ผู้เสียหายยินยอมส่งมอบรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เนื่องจากถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 หลอกลวงให้ทำสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีเจตนาที่จะผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันเพียงแต่อาศัยสัญญาดังกล่าว เพื่อเป็นช่องทางให้ได้รถจักรยานยนต์ของกลางก็ตาม ก็ถือเป็นส่ฃงมอบการครอบครองโดยสมัครใจ จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง มิใช่ลักทรัพย์


รูปภาพของadmin advanced law
ความรู้กฎหมายทั่วไป by อ.เกด, อ.พิชัย ไลน์ 0862310999 -> ขี่รถจักรยานยนต์มายังจุดนัดหมาย แล้วลงมาส่งมอบยาเสพติด ศาลริบรถจักรยานยนต์ได้หรือไม่
โดย admin advanced law - พฤหัสบดี, 21 สิงหาคม 2014, 01:49PM
 
คำตอบ ริบไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่
5698/2555

รถจักรยานยนต์ของกลาง ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางมาใช้เป็นยานพาหนะสำหรับการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่โจทก์ฟ้องอย่างไร และเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้ค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่รถจักรยานยนต์ของกลาง ดังนั้น รถจักรยานยนต์จึงเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยใช้เดินทางมายังที่เกิดเหตุไม่ใช่เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ หรือวัตถุอื่นซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 102 และไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยได้กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 32, 33 (2) จึงยังไม่อาจริบได้


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2528/2555

ก. ลงจากรถจักรยานยนต์ของกลางที่จำเลยขับมากระชากกระเป๋าสะพายของผู้เสียหายแล้ววิ่งกลับไปขึ้นรถของกลางเพื่อหลบหนีรถของกลางจึงเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยกับพวกมีเจตนาใช้เดินทางไปและกลับจากการกระทำความผิดเพื่อให้พ้นการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้น ไม่ได้ใช้รถของกลางเป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดโดยตรง จึงมิใช่ทรัพย์สินอันพึงริบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1)


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7479/2552

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ไม่มีรายละเอียดว่า ได้ใช้รถจักรยานยนต์ในการกระทำผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ในลักษณะใด เพราะความผิดฐานนี้สามารถเป็นความผิดโดยสมบูรณ์ได้โดยไม่จำต้องใช้รถจักรยานยนต์ด้วยเสมอไป การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงเป็นการบรรยายฟ้องเพื่อให้ครบองค์ประกอบตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ ที่ใช้เฉพาะในการเพิ่มโทษจำเลยทั้งสองเท่านั้น ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลมีอำนาจริบรถจักรยานยนต์ได้ตามมาตรา 33 (1)


รูปภาพของadmin advanced law
ความรู้กฎหมายทั่วไป by อ.เกด, อ.พิชัย ไลน์ 0862310999 -> ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โทรติดต่อขอซื้อยาเสพติด ศาลริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้หรือไม่
โดย admin advanced law - พฤหัสบดี, 21 สิงหาคม 2014, 01:47PM
 
ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โทรติดต่อขอซื้อยาเสพติด ศาลริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้หรือไม่

คำตอบ ริบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5698/2555 ช. โทรศัพท์ติดต่อขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยโดยนัดส่งมอบบริเวณที่เกิดเหตุ ต่อมาจำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมายังบริเวณที่เกิดเหตุและเจ้าพนักงานตำรวจยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางได้ที่ตัวจำเลย โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางจึงเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ หรือวัตถุอื่นซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยตรงอันพึงต้องริบตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 102


รูปภาพของadmin advanced law
ความรู้กฎหมายทั่วไป by อ.เกด, อ.พิชัย ไลน์ 0862310999 -> มัดจำ กับ เบี้ยปรับ เหมือนหรือต่างกัน อย่างไร
โดย admin advanced law - อังคาร, 13 พฤษภาคม 2014, 12:52PM
 
มัดจำ กับ เบี้ยปรับ เหมือนหรือต่างกัน อย่างไร
-
มัดจำ คือ สิ่งที่ได้ให้ไว้เมื่อเข้าทำสัญญา ซึ่งเมื่อได้ให้มัดจำไว้แล้วก็เป็นหลักฐานว่าได้ทำสัญญาขึ้นแล้ว
และเป็นประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้น (ป.พ.พ.มาตรา 377)

ดังนั้น สิ่งใดหากได้ให้ไว้เมื่อเข้าทำสัญญาย่อมเป็นมัดจำ แต่หากให้ในวันอื่นหรือหลังจากเข้าทำสัญญา
แม้จะกำหนดให้เรียกว่ามัดจำ ก็ไม่ใช่มัดจำตามกฎหมาย

มัดจำ จะเป็นเงิน หรือทรัพย์สินอื่นก็ได้ เช่น เป็นเช็คก็ได้ เป็นสัญญากู้ยืมก็ได้ เป็นต้น
มัดจำ หากต้องริบ และหากมีจำนวนสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนที่สมควรได้
ตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมฯ มาตรา 7
-

เบี้ยปรับ คือ การตกลงค่าเสียหายล่วงหน้ากรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดหรือผิดสัญญา ซึ่งการกำหนดเบี้ยปรับ
จะอยู่ในรูปแบบใดก็ได้ เช่น เป็นเงินค่าปรับ, เป็นสิ่งของหรือทรัพย์สินอื่นๆ ก็ได้

เบี้ยปรับ หากกำหนดไว้สูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนที่สมควรได้ (ป.พ.พ.มาตรา 383)
-

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3216/2554

เมื่อโจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาแต่ฝ่ายเดียวเพราะไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์
ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งตามสัญญาจะซื้อจะขายและพัฒนา
ที่ดินให้ถือว่าสัญญาเป็นอันยกเลิกโดยโจทก์ทั้งสองผู้จะซื้อยินยอมให้จำเลยผู้จะขาย
ริบเงินที่ได้ชำระไว้แล้วทั้งหมดเช่นนี้ คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่ง
ได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์
ทั้งสองชำระเงินจำนวน 20,000 บาท ให้แก่จำเลยในวันจอง ถือว่าเงินจำนวนนี้
เป็นเงินที่โจทก์ทั้งสองได้ส่งมอบให้แก่จำเลยเพื่อเป็นพยานหลักฐาน และเป็นการ
ประกันในการปฏิบัติตามสัญญา จึงเป็นมัดจำ
ส่วนเงินที่โจทก์ทั้งสองชำระอีกจำนวน
32,500 บาท ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายและพัฒนาที่ดิน ตามสัญญาดังกล่าว
ระบุให้ถือว่าเป็นการชำระหนี้งวดที่ 1 ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่โจทก์ทั้งสอง
ชำระค่าที่ดินและค่าพัฒนาที่ดินตามสัญญา มิใช่เป็นการให้ไว้เพื่อเป็นประกัน
การปฏิบัติตามสัญญา จึงมิใช่ค่ามัดจำ
ดังนั้น เมื่อโจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา
และสัญญาเป็นอันยกเลิกแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิริบมัดจำจำนวน 20,000 บาทได้
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 378 (2)

โจทก์ทั้งสองชำระค่าที่ดิน ค่าจ้างปลูกสร้างบ้าน ค่าสร้างรั้วและค่าต่อเติม
บ้านหลังจากที่จำเลยมีสิทธิริบมัดจำจำนวน 20,000 บาท แล้ว เป็นเงิน 606,897
บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้จำเลยจะต้องให้โจทก์ทั้งสองกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม
แต่การที่โจทก์ทั้งสองกับจำเลยตกลงกันว่าถ้าโจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา
สัญญาเป็นอันยกเลิก โจทก์ทั้งสองยินยอมให้จำเลยริบเงินที่ได้ชำระไว้แล้วทั้งหมด
ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ
ที่กำหนดเป็นจำนวนเงินตาม ป.พ.พ.
มาตรา 379 และถ้าเบี้ยปรับสูงเกินส่วน ศาลก็มีอำนาจลดลงให้เหลือเป็นจำนวน
พอสมควรได้
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383
-

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8942/2554

เงินที่โจทก์ชำระให้จำเลยที่ 1 ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายนั้น เป็นการให้เพื่อ
เป็นพยานหลักฐานว่าสัญญาจะซื้อจะขายได้ทำขึ้นแล้ว และเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา
โดยคู่สัญญามีเจตนาจัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนเมื่อชำระหนี้ หรือหากโจทก์ละเลยไม่ชำระหนี้
ก็ให้ริบเงินนั้นได้ตามสัญญา เงินจำนวนนี้จึงเป็นมัดจำมิใช่เบี้ยปรับ เพราะเบี้ยปรับเป็นกรณีที่ลูกหนี้
สัญญาจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อตนไม่ชำระหนี้อันเป็นการกำหนดค่าเสียหายเอาไว้ล่วงหน้าเท่านั้น
คู่สัญญามิได้มีเจตนาให้เอาเบี้ยปรับเป็นการใช้เงินบางส่วนเมื่อชำระหนี้ แม้ตาม ป.พ.พ. มิได้ให้
อำนาจศาลที่จะลดมัดจำดังเช่นเบี้ยปรับ แต่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540
มาตรา 7 บัญญัติว่า ในสัญญาที่มีการให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำ หากมีกรณีที่จะต้องริบมัดจำ
ถ้ามัดจำนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงให้ริบได้เพียงเท่าความเสียหายที่แท้จริงก็ได้ โดยบทกฎหมายดังกล่าว
เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งให้ศาลพิจารณาตามที่เห็นสมควรหากมัดจำสูงเกินส่วน
ศาลจึงมีอำนาจลดมัดจำได้


หน้า: ()   1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18 ...19   ()