จากกรณีมีข่าวดราม่าของนักแต่งเพลงชื่อดังคนหนึ่งที่แสดงความรักต่อลูกสาวซึ่งเป็นเด็ก
ด้วยการจับก้น จับพุงลูกสาว และมีการโพสคลิปดังกล่าวลงในสื่อโซเชียลมีเดีย จนทำให้เกิดกระแสการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไปซึ่งเสียงส่วนใหญ่มองว่าไม่เหมาะสมนั้น ในฐานะที่แอดมินเป็นนักกฎหมายและนักจิตวิทยา จึงอยากแชร์ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับข้อกฎหมายและผลเสียต่อการกระทำต่อเด็กในลักษณะดังกล่าว
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า "เด็ก" ก็มีสิทธิในความเป็นมนุษย์เหมือนๆกับผู้ใหญ่ ดังนั้นทุกคนจึงต้องเคารพสิทธิเด็กเช่นกันโดยเฉพาะสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของเด็ก เพราะสิทธิเด็กเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองผ่านกฎหมายทั้งในระดับประเทศและในระดับโลก
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิเด็กทั้งสิทธิในการมีชีวิต, สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง, สิทธิในด้านพัฒนาการและสิทธิในการมีส่วนร่วม
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ก็ให้การรับรองและคุ้มครองการปฏิบัติต่อเด็กให้มีความเหมาะสม เพื่อให้เด็กได้รับการอุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และมีพัฒนาการที่เหมาะสม อันเป็นการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันครอบครัว รวมทั้งป้องกันมิให้เด็กถูกทารุณกรรม ตกเป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ หรือถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
ดังนั้น การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใดๆ ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเด็ก
“เด็ก” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่รวมถึงผู้ที่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส
“ทารุณกรรม” หมายความว่า การกระทำหรือละเว้นการกระทำด้วยประการใด ๆ จนเป็นเหตุให้เด็กเสื่อมเสียเสรีภาพหรือเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ การกระทำผิดทางเพศต่อเด็ก การใช้เด็กให้กระทำหรือประพฤติในลักษณะที่น่าจะเป็นอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจหรือขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี ทั้งนี้ ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
หากจะพูดถึงข้อห้ามของผู้ปกครองตามที่กฎหมายกำหนดห้ามไว้โดยชัดแจ้ง ก็คือ (1) ห้ามทอดทิ้งเด็กไว้ในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือสถานพยาบาลหรือไว้กับบุคคลที่รับจ้างเลี้ยงเด็กหรือที่สาธารณะหรือสถานที่ใด โดยเจตนาที่จะไม่รับเด็กกลับคืน (2) ห้ามละทิ้งเด็กไว้ ณ สถานที่ใด ๆ โดยไม่จัดให้มีการป้องกันดูแลสวัสดิภาพหรือให้การเลี้ยงดูที่เหมาะสม (3) ห้ามจงใจหรือละเลยไม่ให้สิ่งที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิตหรือสุขภาพอนามัยจนน่าจะเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจของเด็ก (4) ห้ามปฏิบัติต่อเด็กในลักษณะที่เป็นการขัดขวางการเจริญเติบโตหรือพัฒนาการของเด็ก () ห้ามปฏิบัติต่อเด็กในลักษณะที่เป็นการเลี้ยงดูโดยมิชอบ (พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ มาตรา 25) และไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ก็ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำหรือละเว้นการกระทำอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก (พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ มาตรา 26(1))
ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการที่พ่อจับก้นจับพุงลูกสาวแม้กระทำด้วยความรักที่พ่อมีต่อลูกและลูกยินยอมนั้น ถามว่าเหมาะสมหรือไม่ หากมองในมุมของคนนอกครอบครัวก็คงต้องบอกว่าการกระทำดังกล่าวไม่เหมาะสม เพราะการแสดงออกซึ่งความรักของคนในครอบครัวควรมีขอบเขตที่ไม่เกินเลยไปถึงอวัยวะส่วนตัวของเด็ก ดังนั้น การแสดงความรักด้วยการกอด การหอมโดยเด็กยินยอมน่าจะอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมกว่าการจับต้องอวัยวะส่วนตัวของเด็ก
ในมุมมองของนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์หลายท่านก็เห็นตรงกันว่าการสอนให้เด็กเรียนรู้ถึงภัยทางเพศเป็นสิ่งสำคัญ การสอนให้เด็กรู้จักและเข้าใจการแสดงความรู้สึกที่ดีและไม่ดี พร้อมๆกับการรู้จักอวัยวะในร่างกายตัวเองว่าการรักษาความปลอดภัยและขอบเขตการอนุญาตให้คนอื่นๆเข้าใกล้และสัมผัสอวัยวะแต่ละส่วนได้แค่ไหนเพียงใด แม้แต่คนใกล้ชิด เช่น พ่อ แม่ หรือคนในครอบครัวไม่มีสิทธิจับหรือสัมผัสอวัยวะปกปิดได้อย่างปกติยกเว้นกรณีเด็กป่วยหรืออยู่ในภาวะต้องการการดูแลเท่านั้น ดังนั้น เราจึงต้องสอนเด็กให้เข้าใจและพ่อแม่ก็ต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เพราะถ้าพ่อแม่กระทำการที่ขอบเขตต่อร่างกายเด็กอาจทำให้เด็กรับรู้และเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติที่จะมีใครต่อใครสัมผัสร่างกายหรืออวัยวะปกปิดของตนเองได้ย่อมส่งผลร้ายต่อเด็กได้แน่นอนเพราะเด็กจะไม่รู้จักการปฏิเสธ ไม่รู้ขอบเขตที่เหมาะสม นำไปสู่ความเสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิดทางเพศได้ทั้งจากผู้ใกล้ชิดและผู้อื่น
นอกจากนี้ประเด็นการโพสคลิปต่างๆของลูกลงในสื่อโซเชียลมีเดียก็ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิเด็กได้เช่นกัน หากเป็นคลิปที่ไม่เหมาะสม เช่น การจับก้นอาจจะส่งผลกระทบต่อเด็กได้ในอนาคตเมื่อเด็กโตขึ้นหรือเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นพอที่จะเข้าใจอะไรได้มากขึ้น
ดังนั้น การแสดงความรักต่อลูกซึ่งเป็นเด็กไม่ว่าจะเป็นลูกสาวหรือลูกชายก็แล้วแต่ พ่อแม่หรือคนในครอบครัวจึงต้องมองให้หลากหลายมุมและต้องระมัดระวังถึงขอบเขตความเหมาะสมด้วย ต้องคำนึงถึงสิทธิเด็กเป็นสำคัญ แม้เขาจะเป็นลูกก็ตาม เพราะพ่อแม่คือคนสำคัญที่สุดในการปกป้องคุ้มครองและให้ความรู้แก่เด็กถึงการดูแลตัวเอง การปกป้องตัวเองและการปฏิเสธการกระทำของผู้อื่นต่อเนื้อตัวร่างกายของเด็กซึ่งจะเป็นการดีที่สุดที่จะทำให้เด็กรู้จักภัยคุกคามทางเพศและสามารถปฏิเสธและปกป้องตัวเองได้